
ตำนานใบมะตูม
ใบมะตูมมีประวัติมาจากอินเดีย โดยถือเป็นใบไม้ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เชื่อว่ามีลักษณะคล้ายตรีศูลของพระศิวะและอาวุธของพระนารายณ์ และยังเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะและความเจริญรุ่งเรือง สัญลักษณ์ของใบมะตูมที่มี ๓ แฉก คล้ายกับตรีศูลของพระศิวะ จึงถือเป็นใบไม้ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่ใช้ในการบูชาพระศิวะ และใช้ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูทุกๆนิกาย ในพิธีมงคลต่างๆ ทุกพิธีเช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก และพระราชพิธีมงคลอื่นๆ โดยมีการนำใบมะตูมมาทัดหูเพื่อความเป็นมงคลและป้องกันสิ่งชั่วร้าย ตามตำนานเทวกำเนิดพระนารายณ์ทรงนำพระแสงตรีมาปักลงบนพื้นดินจึงได้เกิดเป็นต้นมะตูมขึ้นมามีใบสามแฉก จากนั้นจึงผูกช้างเอกทันต์ ไว้กับต้นมะตูม ช้างเอกทันต์จึงพ่ายแพ้ให้กับพระนารายณ์ จึงถือเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ สัญลักษณ์แห่งตรีเทพ การใช้ใบมะตูมในพิธีมงคลในประเทศไทย ใช้ในพระราชพิธี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานใบมะตูมในพิธีมงคลต่างๆ เช่น พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พิธีสมรสพระราชทานในโอกาสที่พระบรมวงศานุวงศ์เข้าเฝ้าเพื่อเจริญพระชนมพรรษาหรือเอกอัครราชทูตไทยกราบถวายบังคมลาไปปฏิบัติราชการในต่างประเทศ เป็นต้นฯ ผู้ที่ได้รับพระราชทานจะทัด(เหน็บ)ใบมะตูมไว้ที่ซอกหูขวา ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ และความสวัสดีมีชัย และมงคลยิ่งแก่ชีวิต โดยจะทรงพระราชทานน้ำพระมหาสังข์ พร้อมใบมะตูม ซึ่งบรรจุอยู่ในพระมหาสังข์ และทรงจุณเจิมแป้งหอมที่หน้าผากแก่ผู้เข้าเฝ้าฯ เพื่อความเป็นสิริมงคล ในการรับพระราชทานใบมะตูม ผู้เข้ารับจะต้องยกมือขวาขึ้น “เอางาน” ก่อนรับพระราชทาน เมื่อรับแล้วให้ทัด(เหน็บ)ใบมะตูมไว้ที่เหนือหูขวา เป็นเครื่องหมายแห่งพระราชทานและความสิริมงคลตามโบราณราชประเพณี”
ในสังคมไทย เชื่อว่าการปลูกต้นมะตูมไว้ในบ้านเป็นมงคล และการนำใบมะตูมมาประกอบอาหาร ก็เป็นสิ่งที่นิยม คุณค่าทางสมุนไพร:นอกจากความเชื่อแล้ว มะตูมยังมีสรรพคุณเป็นสมุนไพรที่ใช้ในด้านเป็นยาอายุวัฒนะมากมายหลายขนาน เช่นมะตูมเปลือกนิ่ม ใช้ทำยาลูกแปลกแม่ ยาชลอความแก่ขนานเอกในการแพทย์แผนไทย หมอพื้นบ้านสมัยก่อน มักจะปลูกมะตูมไว้ตามบ้าน เพื่อใช้ทำยา โดยนำทุกส่วน ทั้งผลอ่อน ผลแก่ ผลดิบ ผลสุก ดอก ใบ ราก เปลือก แก่น ไปทำยาในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยาอบ ยาต้ม ยาลูกกลอน ใช้รักษาอาการเจ็บป่วยเกี่ยวกับท้องไส้ ตับ คอ ปอด และหัวใจ เช่น ท้องเสีย ท้องผูก ริดสีดวง ไข้ แก้เจ็บหลังเจ็บเอว ร้อนใน หนาวใน แก้ลม แก้ปวด แก้ตัวบวม แก้หอบหืด เบาหวาน แก้หลอดลมอักเสบ บำรุงธาตุ คุมเบาหวาน เจริญอาหาร แก้กระหายน้ำ ยับยั้งการตั้งครรภ์นั้น มีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดจากใบมะตูมมีฤทธิ์ป้องกันเนื้อเยื่อปกติของอวัยวะต่างๆ เช่น ตับ ไต ลำไส้ ม้าม และ dna ไม่ให้ถูกทำลายจากรังสี มีฤทธิ์ต้านการแพ้ มีฤทธิ์คลายกังวลและต้านซึมเศร้า ป้องกันการเป็นต้อกระจกในหนูที่เป็นเบาหวาน มีฤทธิ์แก้ปวด แก้อักเสบ รวมทั้งไทรอยด์เป็นพิษที่มะตูมอาจจะเป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลรักษา เพราะสมัยก่อนใช้ใบมะตูมเป็นยาแก้ไข แก้ร้อนใน ผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษจะมีอาการร้อนภายใน จึงมีการศึกษาทดลองพบว่า มีผลลดปริมาณฮอร์โมนไทรอยด์ เหนือกว่ายารักษาไทรอยด์ จึงแนะนำให้ผู้ป่วยโรคนี้ กินยอดอ่อนมะตูม หรือดื่มชามะตูมเป็นประจำ จะช่วยลดฮอร์โมนไทรอยด์ได้อีกทาง นับได้ว่ามะตูมมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อสุขภาพในสภาวะโลกร้อน ซึ่งส่งผลให้มนุษย์เรามีความเสี่ยงสูงขึ้นในการเจ็บป่วยด้วยภาวะความร้อนต่างๆ ด้วยสรรพคุณมากมายเหล่านี้คนโบราณจึงมีตำนานขึ้นมาบอกเล่าให้ลูกหลานรักษาสืบทอดต้นไม้ชนิดนี้ต่อๆ กันมา คนโบราณเชื่อว่า ใบมะตูมป้องกันภูติผีปีศาจและเสนียดจัญไรได้ เป็นต้นไม้สำคัญชนิดหนึ่งที่นิยมปลูกไว้ในบริเวณบ้าน เพื่อเป็นสิริมงคล ตามวัดวาอารามสมัยก่อนก็นิยมปลูกมะตูมไว้เพื่อใช้ทำเป็นน้ำปานะ สำหรับพระภิกษุสงฆ์ สามเณร ฯ ผู้ปฏิบัติธรรมจำศีลภาวนา น้ำมะตูมมีสรรพคุณขับลม เป็นยาระบายอ่อนๆ มีฤทธิ์ช่วยคลายความกำหนัดด้วย นับว่าเป็นภูมิปัญญาที่ลึกซึ้งมากของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงเลือกมะตูมไว้เป็นหนึ่งในผลไม้ที่ใช้ทำน้ำปานะสำหรับพุทธสาวก
โดยทั่วไปที่พบเห็นในบ้านเรามะตูม มีอยู่ ๓ ชนิดพันธุ์ คือ
มะตูมไข่ นิยมปลูกมากกว่าชนิดอื่น ผลเล็ก รีๆ เนื้อเยอะ ออกผลดกดีกว่าชนิดอื่น
มะตูมนิ่ม เปลือกจะนิ่ม ใช้มือกดบีบเบาๆ เปลือกผลก็ยุบตัวลงได้สมชื่อ ชนิดนี้มักจะใช้ทำยาสมุนไพรดีมาก
มะตูมธรรมดา ปกติทั่วไป ผลโตกว่ากำปั้น พบได้ทั่วไปทุกภาคของไทย โดยเฉพาะเหนือและอีสานจะมีมาก
มะตูมเป็นไม้ผลยืนต้นขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่สองสามคนโอบ เปลือกลำต้นแตกสะเก็ดเล็กน้อย สีเทาอมน้ำตาล ออกดอกปีละครั้งช่วงปลายฤดูแล้ง ประมาณ พฤษภาคม-มิถุนายน ดอกเป็นช่อเล็กๆ สีขาว มีกลิ่นหอม ลักษณะดอกจะเป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ มีทั้งเกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมียในดอกเดียวกัน แต่ละดอกประกอบด้วยกลีบสีขาว ๕ กลีบ ผลมะตูมมีทั้งกลมๆ และแบบทรงรีๆ รูปไข่ ตอนดิบสีเขียว เมื่อสุกจะกลายเป็นสีเหลืองเข้ม หอมหวนยวนใจชวนให้รับประทานมาก ผู้เขียนชอบทานลูกมะตูมสุกแบบสดๆโดยใช้ช้อนตักเนื้อรับประทานพร้อมยางมะตูมที่ผสมกับเนื้อทานแล้วรู้สึกว่าสุขภาพดี บางคราวก็ฝานตากแห้งทำน้ำมะตูม น้ำมะตูมนั้นมีรสสุขุมอร่อยมาก มีสรรพคุณที่หลากหลาย มีงานวิจัยว่าสามารถช่วยกำจัดสารตกค้างพวกโลหะหนักในร่างกายได้ดีมาก ในมะตูมอ่อนๆ ยังประกอบด้วยเยื่อเมือก Mucilage มี Pectin และ Tannin ไว้ช่วยเคลือบกระเพาะและลำไส้ สตรีมีครรภ์ดื่มน้ำมะตูมประจำเชื่อกันว่าจะช่วยให้เด็กคลอดง่าย เปลือกผลแก่รสฝาด ช่วยขับลม บำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร ในตำรายาไทยก็ใช้ในพิกัด “ตรีผลสมุฏฐาน” ได้แก่ ผลยอ ผลมะตูม ผลผักชีลา ช่วยขับลม แก้ไตพิการ ผลดิบห่ามๆ เนื้อยังแข็งนิยมเอามาฝานเป็นแว่นๆ เชื่อมน้ำตาล เป็นขนมของหวานที่มีมาแต่โบราณ ต้นมะตูมยังเป็นไม้ประจำจังหวัดของจังหวัดชัยนาทอีกด้วย
ตำนานพระศิวะกับใบมะตูม ในคัมภีร์ศิวะปุราณะ เชื่อว่าการถวายใบมะตูมสามารถลบล้างบาปและนำพรอันวิเศษมาสู่ตัวผู้บูชา แม้แต่ผู้ที่ถวายใบมะตูมเพียงใบเดียวแด่พระศิวะ(แต่ต้องถวายด้วยจิตใจบริสุทธิ์) ก็จะได้รับพรและบุญกุศลมหาศาลเลยทีเดียว เนื่องจากใบมะตูมมี สามแฉก ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของ ตรีมูรติ (พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ) ตรีศูลของพระศิวะมีคุณสมบัติ ๓ ประการแห่งจักรวาล ได้แก่ สัตวะ (ความบริสุทธิ์) รชัส (ความเคลื่อนไหว) และตมัส (ความมืดหรืออวิชชา) ในอายุรเวท ใบมะตูมใช้เป็นสมุนไพรรักษาโรค และถือว่ามี พลังบำบัดสูง บางตำนานกล่าวว่า น้ำอมฤต (น้ำทิพย์) ตกลงบนต้นมะตูม ทำให้มันกลายเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ มีความเชื่อว่าการถวายใบมะตูมในวัน มหาศิวราตรี หรือทุกวันจันทร์ (วันแห่งพระศิวะ) จะทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองและพบความสงบสุข
ตำนานในคัมภีร์สกันทปุราณะ ว่ามีนายพรานผู้หนึ่งออกไปล่าสัตว์ แล้วได้สัตว์และนกมามากจนแทบจะนำกลับบ้านไม่ไหว แต่ด้วยความเสียดายจึงพยายามจะขนสัตว์ที่ล่ามาได้กลับบ้านให้หมด กระทั่งเย็นย่ำพรานจึงตัดสินใจนอนค้างในป่าสักคืน จึงปีนขึ้นไปนอนบนต้นมะตูมใหญ่เพื่อความปลอดภัย ค่ำคืนในป่านั้นหนาวเหน็บ นายพรานหลับๆ ตื่นๆ ด้วยความหิว จึงขยับตัวไปมาทั้งคืน ทำให้น้ำค้างที่เกาะอยู่บนใบมะตูมและใบมะตูมแก่ร่วงไปที่ศิวลึงค์ที่อยู่ใต้ต้นมะตูมโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้นายพรานไม่ตั้งใจ แต่พระศิวะก็ทรงพอพระทัย ด้วยเข้าพระทัยว่านายพรานผู้นั้นบูชาพระองค์ตลอดทั้งคืน จึงทรงประทานพรให้นายพรานผู้นั้นพ้นจากบาปที่เคยประกอบไว้ทั้งปวง นายพรานกลับบ้านได้ไม่กี่วันก็ได้สิ้นอายุขัยลง พระศิวะทรงรับดวงวิญญาณของนายพรานไปอยู่ร่วมกับเทวดาอื่นๆ บนเขาไกรลาส ฝ่ายพระยมผู้ที่ทำหน้าที่จัดการกับดวงวิญญาณของผู้ตายเพื่อนำไปพิจารณาบุญบาป ได้ทราบว่าพระศิวะมารับดวงวิญญาณของนายพรานที่ประกอบกรรมฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาตลอดชีวิต พระยมจึงได้ตรงไปยังเขาไกรลาสเพื่อทวงดวงวิญญาณของนายพราน เมื่อไปถึงที่ประทับของพระศิวะ พระยมก็ได้พบกับนนทิ บริวารเทพพาหนะของพระศิวะ จึงได้ถามเรื่องดวงวิญญาณของนายพราน นนทิเทพพาหนะได้ตอบพระยมว่า พรานผู้นี้ทำบาปมาตลอดชีวิตก็จริง แต่ก่อนตาย เขาได้อดอาหาร หยดน้ำบูชาพระศิวะด้วยใบมะตูมตลอดคืน พระศิวะจึงประทานพรให้ปราศจากบาปทั้งปวง แล้วรับไว้ในพระอุปถัมภ์ ใครจะละเมิดอำนาจของพระผู้เป็นเจ้ามิได้ พระยมเมื่อได้ฟังเช่นนั้นจึงจำใจต้องจากไป ส่วนนายพรานนั้นก็ได้เสวยสุขบนสวรรค์เป็นเวลา 1,000 ปี แล้วไปจุติบนโลกมนุษย์เป็นกษัตริย์มีพระนามว่า “จิตรภาณุ”
“Bael Leaves” A Sacred Symbol in Hindu-Brahmin Beliefs
Bael Leaves are regarded as sacred in Brahmin-Hindu beliefs. According to the myth of Lord Narayana’s divine birth and his defeat of the Sacred Elephant Erawan Ekadanta, the Bael Leaf symbolizes divine power. Its significance is also attributed to its shape, which resembles the Trident (Trishula) — the weapon of Lord Narayana. For these reasons, Bael Leaves are commonly used in royal ceremonies and auspicious rituals.
A Bael Leaf typically consists of three small, rounded leaflets with soft, pointed tips, all joined by a single stalk. At a glance, it resembles Lord Narayana’s trident. In the legend, Lord Narayana drove his trident into the ground and prayed for it to transform into a Bael Tree. He then tied the elephant Ekadanta to the tree, ultimately leading to the elephant’s defeat. This tale gave rise to the belief that the Bael Tree is sacred and auspicious in Brahmin-Hindu tradition.
In modern times, His Majesty the King of Thailand includes Bael Leaves in royal auspicious ceremonies, such as the Royal Ploughing Ceremony and other important occasions. For example, when Thai ambassadors bid farewell before departing for overseas assignments, the King presents a conch shell filled with holy water and Bael Leaves, followed by a gentle touch of scented powder on the recipient’s forehead as a blessing.
When receiving the Bael Leaf, the recipient must raise their right hand in a respectful gesture before accepting it. Once received, the Bael Leaf is traditionally tucked above the right ear as a symbol of royal grace and good fortune, according to ancient royal custom
ตำนานใบมะตูม โดย พ่อครูพราหมณ์พิธีมหิธรมลราชสุภาวดี (วิภีษณพราหมณ์)