พิธีอุปนยนะการบวชพราหมณ์ที่อินเดีย

Spread the love

พิธีอุปนยนะการบวชพราหมณ์ที่อินเดีย

ครั้งหนึ่งพ่อครูพราหมณ์ได้เดินทางไปทำพิธีอุปนยนะกับพราหมณ์ที่พาราณสี เป็นพราหมณ์อาวุโสจากวัด (Kashi Vishwanath Temple) เป็นโบสถ์พราหมณ์ไศวะนิกาย วัดนี้ห้ามนำกล้องถ่ายรูปเข้าไปโดยเด็ดขาด เป็นวัดที่เคร่งครัดมาก

พิธีอุปนยนะ ถือเป็นหนึ่งในพิธีสังสการสำคัญของชาวฮินดู โดยพิธีนี้ถือเป็นพิธีเริ่มเข้ารับการศึกษาอย่างเป็นทางการของฮินดูชน ไม่ว่าจะศึกษาในพระเวท ปุราณะ และศาสตร์ต่างๆ  หากกล่าวให้เข้าใจง่ายๆ คือ การบวชเรียน การรับเป็นศิษย์-อาจารย์กัน และออกจากบ้านไปสู่สถานศึกษา หรือ คุรุกุล (ซึ่งเป็นอาศรมของคุรุ)

พิธีนี้จะจัดขึ้นกับกุลบุตรของ พราหมณ์,กษัตริย์ และแพศย์  โดยแต่ละคัมภีร์กล่าวถึงช่วงอายุที่ควรประกอบพิธีนี้แตกต่างกันแต่โดยรวมแล้วยึดหลักพิธีจากคัมภีร์ พิธีนี้เป็นดังการกำเนิดครั้งที่ 2 ขั้นตอนการรับศิษย์มีการแตะไปยังเหนือตำแหน่งหัวใจของศิษย์ พร้อมกับการกล่าวมนตระ ซึ่งมีใจความว่า เราจะดึงใจเธอไปตามความต้องการของเรา จิตของเธอจะตามจิตของเรา ขอเธอจงคล้อยตามไปกับวจีของเรา ขอพระพฤหัสบดีจงผูกพันเธอไว้กับตัวเรา เปรียบดังการโอบอุ้มกุลบุตรนั้นไว้ในครรภ์ และให้กำเนิดอีกครั้งและให้สายยัชโญปวีตะ หรือ อุปวีตะ แก่ศิษย์ ซึ่งยัชโญปวีตะนี้คือ องค์แทนแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาสถิตอยู่กับศิษย์นั้น โดยพาดจากไหล่ซ้าย พาดผ่านช่วงสรีระไปยังช่วงขวาของร่างกาย

 และแสดงพรหฺโมปเทศะ (พรหมะ อุปเทศะ) หรือ ความรู้ทิพย์แก่ศิษย์ ด้วยมนตร์อันศักดิ์สิทธิ์ คือ คายตรี มนตระ  โดยศิษย์จะท่องมนตร์นั้นตามคุรุ จนจำมนต์ได้ขึ้นใจ  เมื่อประกอบพิธีข้างต้นแล้วศิษย์นั้นจะถือว่า เป็นทวิชะ หรือ ผู้เกิดครั้งที่สอง อันสายยัชโญปวีตะนั้นเป็นองค์แทนแห่ง พระคายตรี พระสาวิตรี และพระสรัสวตี  ถือว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่กับตน ควรให้ความเคารพต่อ ยัชโญปวีตะ  ผู้ที่ได้รับการเข้าพิธีอุปนยนะ และไว้ซึ่งยัชโญปวีตะ ควรปฏิบัติตนโดยสุจริต ไม่กระทำการทุจริตใดๆ ไม่ควรพูดจาหยาบคาย ด่าทอ นินทาว่าร้ายผู้อื่น รู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง ไม่ตกอยู่ในโทสะ เป็นผู้ไฝ่รู้ เป็นผู้ไฝ่ตนในกิจกรรมแห่งการเจริญทางจิตวิญญาณอยู่เสมอ การปฏิบัติกิจพิธีทางศาสนา เป็นผู้เจริญในธรรม เป็นผู้เจริญในการให้ทาน (มีเพียงวรรณะพราหมณ์เท่านั้นที่สามารถขอรับทานได้) ควรกระทำซึ่งสนธยาวันทนะ และสวดสาธยายซึ่งคายตรี มนตระ อย่างสม่ำเสมอในทุกๆวัน

พราหมณ์ในอินเดียไม่ถอดยัชโญปวีตะออกไม่ว่าจะกรณีใดๆ สายยัชโญปวีตะจะเปลี่ยนเมื่อ มีคนในครอบครัวถึงแก่การม้วยมรณาลง หรือ ได้มลทิน (ต้องกับสิ่งไม่ดี)ส่วนพราหมณ์สยามนั้นโดยมากจะสวมใส่ยัชโญปวีตะเมื่อถึงเวลาจะประกอบพิธีเท่านั้น ในการปฏิบัติกิจส่วนตัว เช่นการปัสสวะ,การขับถ่าย หรือ การเสพสังวาส จำเป็นต้องนำสายยัชโญปวีตะ ทางด้านขวาขึ้นมาเหน็บกับหูเพื่อไม่ให้ต้องกับเครื่องเพศ หรือ ต้องกับมลทินใดๆ พราหมณ์สยามเรียกสายที่คล้องจากไหล่ขวามาสะเอวซ้ายหรือสายมงคลสวมร่างกายว่า “สายธุรำ” หรือ “ธุหร่ำ” บางทีก็เรียกยาวๆ ว่า “สายธุรำมงคลพราหมณ์” ซึ่งในบริบทสังคมไทยเป็นเครื่องหมายภายนอกแสดงถึงความเป็นพราหมณ์ที่ได้รับการบวชพราหมณ์แล้ว ธุรำ คือสายเครื่องหมายวรรณะพราหมณ์ กษัตริย์ และแพศย์ สวมจากไหล่ซ้ายเฉียงลงไปทางขวา

ปกติเมื่อทำพิธี พราหมณ์อินเดียจะสวมแหวนถักด้วย “หญ้ากุศะ” ที่นิ้วนาง เรียกว่า “ปวิตรี” เมื่อธรรมเนียมนี้เข้ามาในบ้านเราแล้วคงจะเลือนๆ ไปสวมแหวนอย่างอื่น เช่น แหวนพิรอดหรือนพรัตน์ (พราหมณ์พัทลุงสวมแหวนโคนนทิ พราหมณ์กรุงเทพสวมแหวนเกาบิล คือเมื่อสวมแล้วก็พึงระลึกถึงบทสวด หรือเมื่อสวมก็เป็นอันมี “ธุระ” ทางศาสนาที่ต้องกระทำไม่ว่าธุรำจะมีความหมายอย่างไร แต่การสวมสายธุรำหรือยัชโญปวีตนี้มีพิธีกรรมอยู่ ไม่ใช่จะนึกเอามาสวมก็สวมได้ ประเทศไทยตัดสายสิญมาสวมใส่กันแบบเท่ห์ๆเพื่ออวดอ้างสรรพคุณ เอามาอวดมาอ้างเป็นสถานะกัน ที่จริงการคล้องสายยัชโญปวีตต้องผ่านพิธีกรรมที่เรียกว่า “อุปนยนะ สัมสการ” และทำพิธีบวชพราหมณ์ถูกต้องตามจารีตเสียก่อนจึงจะสวมใส่ได้ ขั้นตอนของการทำอุปนยนะ ที่อินเดีย ศิษย์จะไปหาครู มีพิธีในสองส่วนส่วนแรกเป็นการทำยัชญกรรมบูชาไฟบวงสรวงเทพเจ้า จากนั้นจะเป็นส่วนพิธีอุปนยนะ เมื่อคล้องสายยัชโญปวีตแล้ว มีพิธีที่สำคัญ คือ ครูจะกระซิบบอกมนต์ “คายตรี” ให้ มนต์นี้ถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์นัก มนต์นี้มีเนื้อความว่า “โอมฺ (ภูรฺภุวสฺวะ) ตตฺสวิตุรฺ วเรณยมฺ ภรฺโค เทวสฺย ธีมหิ ธิโย โย นะ ปฺรโจทยาตฺ” แปลอย่างคร่าวๆ ว่า โอม ข้าตั้งจินตนาถึงแสงสว่างของพระสวิตฤ ขอโปรดประทานความสร้างสรรค์แก่ปัญญาของข้าเทอญ พระสวิตฤในมนต์นี้เป็นพระนามหนึ่งของพระสุริยเทพ มนต์นี้เป็นมนต์เก่าแก่ในพระเวท แต่ทั้งหมดของมนต์นี้ ท่านผูกบุคลาธิษฐานขึ้นเป็นเทวีองค์หนึ่ง คือพระเทวีคายตรี (มักเขียนผิดกันเป็นกายตรี) ถือกันว่าเป็นมารดาแห่งพระเวท พวกพราหมณ์นับถือกันอย่างที่สุด เมื่อเรียนคายตรีแล้ว ท่านให้ภาวนามนต์นี้ค่ำ-เช้า เรียกว่าทำสันธยะ หากทำสม่ำเสมอจะมีความบริสุทธิ์สะอาด คงความศักดิ์สิทธิ์ของตนไว้ได้ ร่ำเรียนพระเวทก็ก้าวหน้า หากไม่ทำก็จะเสื่อมลง เพราะการภาวนาคายตรีเป็น “นิตยกรรม” หรือกรรมที่ต้องทำเสมอๆ เมื่อเรียนคายตรีจากครูแล้ว บางครั้งก็จะทำพิธี “เวทรัมภา สัมสการ” หรือพิธีเริ่มต้นไหว้ครูเรียนพระเวทต่อไป

การทำเช่นนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้รู้จักการทำบูชายัญอัคคี (อัคนิ) ซึ่งเป็นพิธีการที่สำคัญมากในทางศาสนาที่มีมาแต่ครั้งสมัยพระเวท “ครั้งได้ให้เครื่องบูชาตอนที่ศิษย์แตะที่แขนครู (บ่งถึงการเข้าร่วมใน การบริจาค) แล้วก็ควรนั่งอยู่ทางด้านทิศเหนือของไฟศักดิ์สิทธิ์ ผินหน้าไปทางทิศตะวันออก ศิษย์ควรอยู่ทางทิศตะวันออกของไฟศักดิ์สิทธิ์ ผินหน้าไปทางทิศตะวันตก แล้วครูก็ควรเอาน้ำใส่ฝ่ามือทั้งสองของตนและของลูกศิษย์ให้เต็ม พร้อมกับบริกรรมว่า “ตตฺ สวิตุรฺ วฺฤณีมเห…” แล้วก็ควรเทน้ำที่เต็มฝ่ามือทั้งสองของศิษย์แล้ว ครูก็ควรจับมือทั้งสองของศิษย์ทำให้หัวแม่มือ ชิดกัน พร้อมกับกล่าวว่า “ด้วยอาศัยแรงกระตุ้นของเทพสาวิตระ (ผู้กระตุ้น คือ สุริยะเทพ) พร้อมด้วยพาหาของอัศวินทั้งสอง (แพทย์สวรรค์) พร้อมด้วยหัตถ์ของปูษาน (เทพแห่งความ มั่งคั่งสมบูรณ์) เราขอจับมือท่านไปนะ (ระบุชื่อศิษย์)!” ครั้งที่สองครูควรจับมือศิษย์พร้อมกับ กล่าวว่า “สาวิตระได้จับมือท่านแล้วนะ (ระบุชื่อศิษย์)” ครั้งที่สามครูควรจับมือศิษย์พร้อมกับกล่าวว่า “พระอัคนี (ไฟ เทพแห่งยัญพิธี) เป็นครูของท่านนะ (ระบุชื่อศิษย์)!” ครูควรบอกให้ ศิษย์ดูดวงอาทิตย์แล้วก็ควรกล่าวว่า “ข้าแต่เทพสาวิตรี ผู้นี้เป็นศิษย์ที่จะเรียนความรู้ศักดิ์สิทธิ์ (พรหมจารี) ของพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดพิทักษ์รักษาเขา ขออย่าให้เขาตายเลย”ว่าเขาเป็นบุตร แล้วจึงคลอด เขาออกมาในโลกของพระเวทย์ ด้วยเหตุ เป็นทวิชาติ (คือผู้ที่เกิด 2 หน) “คำว่า พราหมณ์ หมายถึง ผู้สืบเชื้อสายมาจากพระพรหม เป็นผู้ให้ความสำคัญต่อพรหมัน พระเวท และอาตมัน บุคคลผู้ที่จะเรียกตนได้ว่าเกิดในวรรณะพราหมณ์ต้องมีคุณลักษณะ 11 ประการตามธรรมชาติ คือ…

1. ศมะ ความสุภาพภายในจิตใจ ไม่มีความยุ่งยากหรือปั่นป่วนด้วยกาม โกรธ โลภ หลง

2. ทมะ  สภาพจิตใจที่ได้รับการระงับไว้แล้ว รู้จักข่มจิตใจของตนด้วยความสำนึกใน เมตตาและสติอยู่เสมอ รู้จักอดทนอดกลั้น ไม่ปล่อยจิตใจให้หวั่นไหวไปตามอารมณ์

3. ตปะ ความร้อน หรือการร้อน หมายถึงการฝักใฝ่ในการหาความรู้ ความจริง และ ความพยายามให้สำเร็จไม่ว่าจะผจญกับความยากลำบากเพียงใด

4. เศาจะ ความบริสุทธิ์ หมายถึงการทำตนเองให้บริสุทธิ์ทั้งกายและใจ

5. สนฺโตษะ พอใจ หรือมีความสุขในทางสันติ

6. กษฺมา ความอดทนอดกลั้น อดโทษ พยายามอดทนโดยถือความเมตตากรุณาเป็นที่ตั้ง

7. สรลตา ความซื่อตรงทั้งการพูดและการกระทำ

8. ชฺญาณะ ความชอบทางการศึกษาหาความรู้

9. ทยา ความมีเมตตากรุณาต่อเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย

10. อาสฺติกตา มีความเชื่อถือ ไว้วางใจ เชื่อฟัง และมอบความจงรักภักดีไว้ต่อพระพรหม

11. สตฺยะ ความจริง หมายถึง ความเห็นอันสุจริต บริสุทธิ์ใจ ซื่อสัตย์ต่อกัน

หน้าที่โดยย่อของวรรณะพราหมณ์ 6 ประการ คือ ศึกษาและสั่งสอนพระเวท ประกอบพิธีบวงสรวงให้คนอื่น ทำพิธียัญกรรมเอง ให้ทานแก่ผู้อื่นและรับทานจากผู้อื่นได้ ได้แสดงขยาย ความเพิ่มเติมดังนี้

1. ปฐนัง ได้แก่ การรับการศึกษาชั้นสูง และพยายามแสวงหาความจริง

2. ปาฐนัง ได้แก่ การให้การศึกษาแก่ผู้อื่น เช่น ทำอาชีพ-หน้าที่เป็นครู เป็นอาจารย์เป็นต้น

3. ยชนัง-1 ได้แก่ การทำพิธีบูชาต่างๆ เช่น พิธียัญกรรม และจัดพิธีการกุศลต่างๆ ด้วย

4. ยาชนัง-2 ได้แก่ การทำพิธีบูชาต่างๆ เช่น พิธียัญกรรมและพิธีกุศลอื่นๆ ตามความประสงค์ของผู้ใดผู้หนึ่งที่มีจิตศรัทธาให้ประกอบพิธีกรรมนั้นๆ

5. ทานะ ได้แก่ การทำบุญให้ทานแก่คนอื่นตามกำลังเท่าที่พอจะทำได้

6. ปรติครหะ ได้แก่ การรับทักษิณาหรือของทำบุญจากผู้มีจิตศรัทธา ในบรรดาหน้าที่ทั้ง 6 ประการดังกล่าวนี้สอดคล้องกับองค์การศาสนาพราหมณ์-ฮินดูได้แสดงไว้ว่า “หน้าที่อันสำคัญที่สุดคือการศึกษาหาความรู้และการสอน ส่วนการรับทานเป็นหน้าที่ที่มีความสำคัญน้อยที่สุด แต่เป็นหน้าที่อันเดียวที่วรรณะพราหมณ์มีสิทธิทำได้ สิ่งของที่ให้แก่พราหมณ์ที่มาทำพิธีของนั้นวางไว้ข้างขวาของพราหมณ์ จึงเรียกว่าทักษิณา ดังนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!